วิชาวิทยาศาสตร์
วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557
ระบบสุริยะจักรวาล
ระบบสุริยะ
ระบบสุริยะ คือ ระบบที่มี ดวงอาทิตย์ (Sun) เป็นศูนย์กลาง และมีบริวาร คือ ดาวเคราะห์ 8 ดวง (ในอดีตมีการนับดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ทั้งหมด 9 ดวง แต่มาในปี 2549 มีการตัดดาวพลูโตออกไปจากระบบ อ่านเพิ่มเติมในเรื่องดาวพลูโตด้านล่าง)
ถ้าให้ระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ ดาวพุธและดาวศุกร์จัดเป็นดาวเคราะห์วงใน เพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์น้อยกว่าโลก จึงมีวงโคจรสั้นกว่า ส่วนดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน จัดเป็นดาวเคราะห์วงนอก เพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก จึงมีวงโคจรยาวกว่าโลก
นอกจากนี้ ในระบบสุริยะยังประกอบด้วย ดวงจันทร์บริวารดาวเคราะห์ (Moon) ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf planet) ดาวเคราะห์น้อย (Minor Planet หรือ Asteroid) และดาวหาง (Comets) โดยบริวารทั้งหมด โคจรรอบดวงอาทิตย์ ส่วนดาวตกหรือผีพุ่งใต้ และอุกกาบาตจะเกิดขึ้นในบรรยากาศของโลก
จักรวาล
หมายถึง ห้วงอวกาศที่บรรจุไว้ด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ต่างๆ จำนวนมหาศาล ระหว่างดวงดาวก็มีก๊าซและฝุ่นผงเกาะกลุ่มกันบ้าง กระจายกันอยู่บ้าง บรรดาดวงดาวในจักรวาล จะไม่กระจายกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่จะร่วมกันอยู่เป็นกลุ่มๆ เรียกว่า กาแล็กซี (Galaxy) ดวงดาวทั้งหมดที่เรามองเห็นในท้องฟ้าล้วนแต่อยู่ในกาแล็กซีเดียวกัน มีชื่อเรียกว่า กาแล็กซีทางช้างเผือก
- ดาวฤกษ์ คือ ดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง
ดวงอาทิตย์ (Sun) เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าโลกที่เราอาศัยอยู่ถึง 108 เท่า ดวงอาทิตย์มีพลังงานดึงดูดซึ่งกันและกันกับดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง
- ดาวเคราะห์ หมายถึง วัตถุท้องฟ้าที่โคจรรอบดาวฤกษ์ (ในที่นี้หมายถึงดวงอาทิตย์) โดยที่ตัวมันเองไม่เป็นทั้งดาวฤกษ์และดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่น เป็นดาวที่มีมวลมากพอที่จะมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดตัวเองให้อยู่ในสภาวะสมดุล อุทกสถิต (hydrostatic balance) หรือรูปร่างใกล้เคียงกับทรงกลม ต้องไม่มีวงโคจรซ้อนทับหรือใกล้เคียงกับวัตถุอื่น นอกจากนี้ ดาวเคราะห์ยังเป็นดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่สะท้อนพระอาทิตย์ส่องมายังตาเรา ดาวเคราะห์ที่เราสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า มี 5 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์
บริวารของดวงอาทิตย์
บริวารของดวงอาทิตย์จะโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ ได้แก่ ดาวเคราะห์ 8 ดวง ดวงจันทร์ที่เป็นบริวารดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็กอื่นๆ
1. ดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์
ระบบของดวงดาวที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์เป็นบริวาร 8 ดวง ซึ่งดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวง เรียงลำดับจากดวงที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ไปหาดวงที่อยู่ไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด ดังนี้ ดาวพุธ, ดาวศุกร์, โลก, ดาวอังคาร, ดาวพฤหัสบดี, ดาวเสาร์, ดาวยูเรนัส, ดาวเนปจูน
แต่เดิมระบบสุริยะมีการนับดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จนกระทั่งมีการค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ว่า ดาวพลูโตได้ถูกถอดออกจากออกจากหมู่ "ดาวเคราะห์ชั้นเอก" แห่งระบบสุริยะ หลังจากอยู่ในระบบมานานถึง 76 ปี โดยถูกจัดชั้นใหม่ให้เป็น "ดาวเคราะห์แคระ" เพราะ ดาวพลูโตแตกต่างจากดาวเคราะห์อีก 8 ดวงที่อยู่ในระบบมาก ไม่ว่าจะเป็นระยะทางที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์และมีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์อีก 8 ดวง และดาวพลูโตไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกระบบสุริยะ
เรามาดูกันว่า ดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวง มีอะไรบ้าง และมีลักษณะอย่างไร
- ดาวพุธ
(Mercury) เป็นดาวเคราะห์ที่เล็กกว่าโลกและอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด
มีอุณหภูมิด้านที่สว่างและมืดแตกต่างกันมาก เนื่องจากไม่มีบรรยากาศห่อหุ้ม
ใช้เวลาในเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์สั้นที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาร
ของดวงอาทิตย์ ดังนั้น
ดาวพุธจึงอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก
เราสามารถมองเห็นดาวพุธได้ด้วยตาเปล่าในเวลาตอนเช้าก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นครึ่ง
ชั่วโมง และหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกครึ่งชั่วโมง
เมื่อปี พ.ศ.2517 และ 2518 ยานมารีเนอร์ 10 ได้วิ่งเฉียดผ่านดาวพุธ และรายงานว่า อุณหภูมิผิวด้านกลางวันสูงถึง 437°C ซึ่งสูงกว่าจุดหลอมเหลวของตะกั่ว แต่วงโคจรของดาวพุธรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีมาก จึงทำให้จุดอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดมีระยะทาง 46.2 ล้านกิโลเมตร และจุดที่ไกลที่สุดอยู่ที่ 70.2 ล้านกิโลเมตร ณ ตำแหน่งไกลสุดอุณหภูมิผิวเวลากลางวันจะลดลงเหลือ 280°C ส่วนด้านที่ไม่ถูกแสงแดดอุณหภูมิจะต่ำมาก ทั้งนี้เพราะดาวพุธไม่มีบรรยากาศที่จะดูดความร้อนไว้ได้เช่นโลกของเรา โดยอุณหภูมิด้านมืดของดาวพุธต่ำสุดอยู่ที่ -173°C ดาวพุธจึงได้ชื่อว่า "เตาไฟแช่แข็ง" เพราะด้านสว่างมีสภาพร้อนจัด ขณะที่ด้านมืดมีสภาพเย็นจัด
ลักษณะพื้นผิวของดาวพุธขรุขระเต็มไปด้วยก้อนหินและฝุ่น มีหลุมลึกและอุกกาบาตคล้ายผิวของดวงจันทร์ มีหน้าผาสูง หุบเหว และรอยแยก ไม่มีอากาศ ไม่มีน้ำ ดาวพุธมีขนาดโตกว่าดวงจันทร์บริวารของโลกเล็กน้อย กล่าวคือ มีเส้นผ่านศูนย์กลางและเนื้อสารมากกว่าดวงจันทร์ 1.3 และ 4.2 เท่าตามลำดับ - ดาวศุกร์
(Venus) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2
มีขนาดเล็กกว่าโลกเล็กน้อย มีโอกาสเข้าใกล้โลกมากที่สุด จึงได้ชื่อว่า เป็นฝาแฝดกับโลก
แต่มีองค์ประกอบของบรรยากาศที่แตกต่างกันมาก
ดาวศุกร์อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าจึงร้อนกว่าโลก
อุณหภูมิพื้นผิวของดาวศุกร์สูงถึง 477°C ซึ่งสูงกว่าดาวพุธ
ทั้งนี้เพราะดาวศุกร์มีบรรยากาศที่หนาทึบ
ทำให้บรรยากาศมีความกดดันมากกว่าของโลกถึง 90 เท่า
บรรยากาศส่วนใหญ่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 96% รองลงมาคือ ก๊าซไนโตรเจน
3.5% ไอน้ำ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ อาร์กอน คาร์บอนมอนนอกไซด์ นีออน
โดยมีปริมาณน้อยลดหลั่นลงไปตามลำดับ ไม่มีออกซิเจนและไอน้ำ
บรรยากาศที่หนาทึบนี้ดูดกลืนความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้
และทำหน้าที่เหมือนเรือนกระจก
อุณหภูมิพื้นผิวดาวศุกร์จึงสูงมากกว่าดาวพุธ ทั้งๆ
ที่ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า
ไอน้ำและซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศของดาวศุกร์จะรวมตัวกันเป็นไอของกรด
กำมะถันได้ด้วย
ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่ปรากฏแสงสว่างที่สุด รองจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เท่านั้น ถ้ามองเห็นดาวศุกร์ทางทิศตะวันออกก่อนรุ่งอรุณ เรียกว่า ดาวประกายพรึก ทั้งนี้เพราะดาวศุกร์อยู่ทางทิศตะวันตกของดวงอาทิตย์ จึงขึ้นก่อนดวงอาทิตย์และตกก่อนดวงอาทิตย์ แต่ถ้าอยู่ทางทิศตะวันออกของดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์จะขึ้นหลังดวงอาทิตย์ และตกหลังดวงอาทิตย์ นั่นคือ เมื่อดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าทางตะวันตก ดาวศุกร์จะปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้าด้านตะวันตก เรียกว่า ดาวประจำเมือง
ดาวศุกร์มีข้อแตกต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ มาก เพราะหมุนรอบตัวเองในทิศตรงข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่น คือ หมุนตามเข็มนาฬิกา หมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก
1 วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก ดาวศุกร์ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร - โลก
(Earth) โคจรห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 3 เป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงิน
มีพื้นผิวส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำ 3 ใน 4 ของพื้นโลก จึงได้ชื่อว่า
"ดาวเคราะห์แห่งน้ำ" โลกมีแถบรังสีชื่อว่า แวนอัลเลน มีลักษณะเป็นเข็มขัดรูปขนมโดนัทห่อหุ้มโดยรอบ 2 ชั้น เรียกว่า เข็มขัดแวนอัลเลน
ทำหน้าที่คล้ายเกาะป้องกันโลก
โดยจะกันอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ไว้ในวงแหวนรังสีนั้น
ไม่ให้ผ่านถึงโลกได้ง่าย
แต่อาจมีอิเล็กตรอนบางส่วนเล็ดลอดผ่านแถบรังสีเข้าสู่บรรยากาศโลกได้แล้วไป
ทำปฏิกิริยากับอะตอมออกซิเจน
และไนโตรเจนทำให้เกิดแสงเรืองขึ้นในท้องฟ้าแถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
เรียกว่า แสงเหนือและแสงใต้
แกนของโลกนั้นเอียงประมาณ 2312 ° กับแนวตั้งฉากกับระนาบทางโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ ขึ้นบนโลก
อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ย 15°C โลกหมุนรอบตัวเองโดยหมุนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก หรือทวนเข็มนาฬิกา
พื้นผิวโลกมีอากาศ ในอากาศมีก๊าซไนโตรเจนมากที่สุด มีก๊าซออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ ทำให้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ นับเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ - ดาวอังคาร (Mars) เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4 ซึ่งจะเห็นดาวอังคารมีลักษณะเป็นสีแดงจึงถูกเรียกว่า ดาวเคราะห์สีแดง (Red Planet)
ชาวกรีกและโรมันจึงยกให้เป็นเทพแห่งสงคราม
การที่เราเห็นดาวอังคารเป็นดาวแดง
เนื่องจากเปลือกชั้นนอกของดาวอังคารเป็นออกไซด์ของเหล็ก (สนิมเหล็ก)
มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งหนึ่งของโลก
มีบรรยากาศเบาบางมากและประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่
มีก๊าซไนโตรเจน และมีไอน้ำเล็กน้อย พื้นผิวมีหลุม บ่อ
อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ย -50°C
ดาวอังคารมีแกนเอียงคล้ายโลก คือ ประมาณ 25 องศา จึงทำให้เกิดฤดูกาลเช่นเดียวกับบนโลก นอกจากนี้ เวลา 1 วันบนดาวอังคารเกือบเท่ากับ 1 วันบนโลก บนดาวอังคารมีบรรยากาศ แต่ก็เบาบางมาก มีพื้นผิวขรุขระ มีหุบเหวกว้างใหญ่ มีหลุมบ่อ มีปล่องภูเขาไฟ ฝุ่นละออง และมีร่องรอยของการไหลของน้ำมาก่อน จึงเชื่อว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิต จากการสำรวจของยานไวกิง 1 และยานไวกิง 2 ที่ลงสำรวจบนผิวดาวอังคาร ตรวจไม่พบว่า มีสิ่งมีชีวิตใดๆ บนดาวเคราะห์ดวงนี้เลย
ดาวอังคารมีภูเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะ คือ ภูเขาไฟโอลิมปัส (Olympus) และหุบเขาลึกชื่อว่า มาริงริส (Maringris) เป็นระบบแคนยอนที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 2 ดวง คือ โพบอสและไดมอส - ดาวพฤหัสบดี
(Jupiter) เป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ
อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 5
เป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์เพราะมีองค์ประกอบเป็น ก๊าซไฮโดรเจน และ ฮีเลียม คล้ายดวงอาทิตย์ ความหนาแน่นของดาวพฤหัสบดีจึงต่ำ (1.33 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร)
ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวที่มีเนื้อสารมากที่สุดและมากกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ รวมกัน หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุด ถ้าไปอยู่บนดาวพฤหัสบดีจะรู้สึกว่า เวลา 1 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกินเวลาประมาณ 9 ชั่วโมง 55 นาที แต่ 1 ปีบนดาวพฤหัสบดียาวเกือบ 12 ปีโลก การไปอยู่ที่ดาวเคราะห์ใหญ่ที่สุดดวงนี้ จะเดินทางลำบากขึ้น เพราะน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นถึง 2.64 เท่า เช่น ถ้าอยู่บนโลกหนัก 50 กิโลกรัม เมื่ออยู่บนพื้นดาวพฤหัสบดีจะหนัก 132 กิโลกรัม เนื่องจากดาวพฤหัสบดีมีแรงดึงดูดมาก
องค์ประกอบของดาวพฤหัสบดีคล้ายกับดวงอาทิตย์ คือ มีไฮโดรเจนและฮีเลียม ซึ่งเป็นก๊าซที่เบาถึง 99% อีก 1% เป็นแก่นหินซึ่งมีขนาดเท่ากับโลก
แม้ดาวพฤหัสบดีจะมีขนาดใหญ่ที่สุด แต่เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์แล้ว ยังมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ถึง 1,000 เท่า นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณเอาไว้ว่า หากดาวพฤหัสบดีมีปริมาณสสารมากกว่านี้ 100 เท่า ก็จะสามารถทำให้แกนกลางมีความร้อนมากพอที่จะเริ่มปฏิกิริยาเทอร์โม นิวเคลียร์ ซึ่งจะปลดปล่อยพลังงานออกมาเหมือนกับดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัสบดีก็จะพัฒนาเป็นดาวฤกษ์ได้
บรรยากาศของดาวพฤหัสบดีมีลักษณะเป็นแถบกว้าง และเป็นเข็มขัดตามแนวขนานกับเส้นศูนย์สูตร ใต้เส้นศูนย์สูตรมีบริเวณที่ลึกลงไปมองเห็นเป็นวง จากการสำรวจของยานวอยเอเจอร์ 1 พบว่า เป็น จุดแดงใหญ่ มีขนาดความจุประมาณ 3 เท่าของโลก ซึ่งเป็นพายุหมุนที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก เป็นกลุ่มก๊าซร้อนหมุนเวียนด้วยความเร็วสูงอยู่ด้านซีกใต้ของดาวพฤหัสบดี - ดาวเสาร์ (Saturn)
เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากดาวพฤหัสบดี
อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 6 ถัดจากดาวพฤหัสบดี
เป็นดาวเคราะห์ที่สวยงามมาก เพราะมีวงแหวนล้อมรอบ
เมื่อส่องดูจากกล้องโทรทรรศน์จะพบความแปลกของดาวเสาร์อีกอย่างหนึ่งคือ
มีความหนาแน่นน้อยที่สุด คือมีความหนาแน่นเพียง 0.7
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งน้อยกว่าความหนาแน่นของน้ำ
จนมีการคาดการณ์กันว่า ถ้ามีปริมาณน้ำที่มากพอมารองรับดาวเสาร์จะลอยน้ำได้
มีการสันนิษฐานกันว่า โครงสร้างภายในและภายนอกของดาวเสาร์คล้ายกับดาวพฤหัสบดี คือมีก้อนแก่นหิน เหล็กขนาดเล็ก ห่อหุ้มด้วยชั้นของโลหะและไฮโดรเจนเหลว และโมเลกุลของไฮโดรเจน ส่วนบรรยากาศมีแถบและเข็มขัดสีต่างๆ คือ ขาว เหลือง เทา เขียว และส้ม
วงแหวนของดาวเสาร์มีระยะห่างจากศูนย์กลางของดาวเสาร์ 148,000 กิโลเมตร วัตถุอื่นที่เข้ามาอยู่ภายในบริเวณนี้จะถูกแรงโน้มถ่วงที่แตกต่างกันระหว่าง ดาวเสาร์และวงแหวนดึงฉีกให้แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยจะอยู่เป็นก้อนขนาดโตไม่ได้ วงแหวนดาวเสาร์มี 7 ชั้นใหญ่ ซึ่งแต่ละชั้นประกอบด้วยวงเล็กๆ ซ้อนกันเป็นพันๆ วง ลักษณะของวงแหวนเป็นก้อนหินและก้อนของชั้นน้ำแข็ง
ดาวเสาร์มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 50 ดวง บริวารดวงที่ใหญ่ที่สุดชื่อ ไททัน และใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ - ดาวยูเรนัส
(Uranus) หรือดาวมฤตยู
เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 7 ในระบบสุริยะ
ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3
รองจากดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ แต่มีขนาดเล็กกว่าดาวพฤหัสบดีกว่าครึ่งหนึ่ง
เป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่ถูกค้นพบโดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์ เมื่อปี พ.ศ.2324
ผู้ค้นพบคือ วิลเลียม เฮอร์เชล (William Herschell) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ
ดาวยูเรนัสมีขนาดใหญ่กว่าโลก โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่า 4 เท่าของโลก แต่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเพราะอยู่ไกล เมื่ออยู่ตรงข้ามดวงอาทิตย์จะเป็นตำแหน่งที่ใกล้โลกที่สุด ขณะนั้นจะอยู่ห่างโลก 19 เท่าของระยะระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์
ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ประเภทเดียวกับดาวพฤหัสบดี คือ เป็นดาวเคราะห์ก๊าซ ซึ่งมีไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ดาวยูเรนัสมีขนาดเล็กกว่าดาวพฤหัสบดี ทั้งคู่มีความหนาแน่นใกล้เคียงกัน แสดงว่า องค์ประกอบของดาวยูเรนัสต้องมีธาตุหนัก เช่น ธาตุเหล็กรวมอยู่ด้วย หากไม่เป็นเช่นนั้นดาวยูเรนัสจะมีความหนาแน่นน้อยกว่านี้ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ดาวยูเรนัสมีธาตุหนักเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน คาร์บอน ซิลิกอน และเหล็ก
นักดาราศาสตร์ได้คาดคะเนจากความหนาแน่นได้ว่า ดาวยูเรนัสมีแกนกลางเป็นหินแข็ง ล้อมรอบด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นของเหลว ซึ่งเป็น น้ำ แอมโมเนีย และมีเทนเหลว ส่วนชั้นนอกเป็นก๊าซไฮโดรเจนแลฮีเลียม
ดาวยูเรนัสมีวงแหวนล้อมรอบคล้ายดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดี ลักษณะวงแหวนมีขนาดบางๆ ประมาณ 10 ชั้น วงแหวนที่ล้อมรอบประกอบด้วยชั้นน้ำแข็งมืดที่เคลื่อนไหว วงแหวนของดาวยูเรนัสมีความมืดมาก ผิดกับวงแหวนที่สว่างของดาวเสาร์ ถ้าไม่มองด้วยกล้องโทรทัศน์ก็จะมองไม่เห็น
อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ -210 องศาเซลเซียส ชั้นบรรยากาศประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซฮีเลียม เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังก๊าซมีเทน และอะเซทิลีน เนื่องจากก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศดูดซับแสงสีแดงเอาไว้ จึงทำให้เรามองเห็นดาวยูเรนัสมีสีน้ำเงินอมเขียว
ความแปลกประหลาดของดาวยูเรนัส
นักดาราศาสตร์ได้พบสิ่งประหลาดเกี่ยวกับดาวยูเรนัสคือ การหมุนรอบตัวเอง และ การเอียงของแกนแม่เหล็ก
- ดาวยูเรนัสหมุนรอบตัวเองอย่างแปลกประหลาดที่สุดคือ แกนหมุนเกือบอยู่ในระนาบเดียวกันกับทางโคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยแกนหมุนเอียง 98° ทำให้เห็นดาวยูเรนัสหมุนตามเข็มนาฬิกา ซึ่งตรงข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ยกเว้นดาวศุกร์ ดาวยูเรนัสจึงอยู่ในลักษณะกลิ้งบนทางโคจร เป็นเหตุให้ขั้วเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์เป็นเวลาหลายปี และอีกช่วงเวลาหนึ่งขั้วใต้ก็จะหันเข้าหาดวงอาทิตย์เป็นเวลาหลายปีเช่นเดียว กัน
- เครื่องมือในยานวอยเจอร์ 2 ตรวจพบว่า ดาวยูเรนัสมีสนามแม่เหล็กถาวรแบบโลก แต่มีความเข้มประมาณครึ่งหนึ่งของโลก แกนแม่เหล็กของดาวยูเรนัสเอียงเป็นมุม 55° กับแกนหมุน นับว่าเป็นสิ่งประหลาดอย่างหนึ่ง เพราะดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ จะมีแกนแม่เหล็กกับแกนหมุนเกือบทับกัน เช่น โลก และดาวพฤหัสบดี มีแกนเอียงเป็นมุม 11° กับแกนแม่เหล็ก ฯลฯ
- ดาวเนปจูน
(Neptune) หรือ ดาวสมุทร เป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินกลมเล็กๆ
อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 8
ซึ่งมีระยะห่างไกลมากและมีแสงสว่างค่อนข้างน้อยมาก ทำให้ยากต่อการสังเกต
(ดาวเนปจูนถือเป็นเทพเจ้าแห่งทะเล)
ถูกค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ โจฮันน์ จี. กาเล
ใช้กล้องโทรทรรศน์ค้นพบในปี พ.ศ.2389
ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ก๊าซประเภทดาวพฤหัสบดี มีขนาดใหญ่กว่าโลก แต่เล็กกว่าดาวยูเรนัส มีจุดดำใหญ่คล้ายจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี โดยจุดดำใหญ่นี้อาจเป็นพายุหมุนแบบเดียวกันกับจุดแดงใหญ่ แต่หลังจากปี พ.ศ.2533 กล้องโทรทรรศน์ตรวจไม่พบจุดดำใหญ่นี้
ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้ถ่ายภาพพบวงแหวนบางส่วนรอบดาวเนปจูน เป็นวงแหวนที่มืดมากจนไม่อาจสังเกตเห็นได้จากโลก ข้อมูลจากยานวอยเอเจอร์ 2 ทำให้นักดาราศาสตร์คิดว่า ดาวเนปจูนอาจมีวงแหวน 5 วง วงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วย วัตถุขนาดจิ๋วที่เย็นยะเยือกจำนวนมากเคลื่อนที่ไปรอบๆ ภายใต้แรงโน้มถ่วงของดาวเนปจูน
ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวารทั้งหมด 13 ดวง บริวารดวงเดิมที่มีชื่ออยู่เดิม คือ ไทรตัน และ เนรีด ซึ่งไทรตันเป็นบริวารดวงใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน เป็นบริวารที่มีอุณหภูมิต่ำมาก พื้นผิวจึงเป็นน้ำแข็ง
ดาวเนปจูนเป็นดาวที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์น้อยมาก เนื่องอยู่ไกลมาก จึงทำให้มีอุณหภูมิที่พื้นผิวต่ำ -220 องศาเซลเซียส
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
58
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
4,878
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
87.97
|
วัน
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
58 วัน 15 ชั่วโมง 30.5 นาที
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
ไม่มี
| |
สีของดาว |
---- ฟ้า
|
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
107.5
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
12,104
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
224.7
|
วัน
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
- 243 วัน 14.4 นาที
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
ไม่มี
| |
สีของดาว |
--- เหลือง
|
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
149.6
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
12,756
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
365.26
|
วัน
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
- 23 ชั่วโมง 56.1 นาที
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
1
|
ดวง
|
สีของดาว | -- น้ำเงิน |
ดาวอังคารโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 687 วัน และหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 24 ชั่วโมง 37 นาที มีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ 230 ล้านกิโลเมตร
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
227.8
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
6,795
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
687
|
วัน
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
- 24 ชั่วโมง 37.4 นาที
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
2
|
ดวง
|
สีของดาว | --- แดง |
ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์บริวารมากมายถึง 63 ดวง แต่มีดวงใหญ่อยู่ 4 ดวง กาลิเลโลผู้ค้นพบบริวาร 4 ดวงใหญ่ของดาวพฤหัสบดีเป็นคนแรก โดยเขาใช้กล้องโทรทรรศน์ที่เขาสร้างขึ้น จึงเรียกดวงจันทร์ทั้งสี่ดวงนี้ว่า ดวงจันทร์กาลิเลียน หรือ ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ มีชื่อว่า ไอโอ ยุโรปา แกนนีมีด และแคลลิสโต ซึ่งเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่
การค้นพบที่สำคัญอันหนึ่งเกี่ยวกับดาวพฤหัสบดีของยานวอยเอเจอร์ 1 คือ การค้นพบวงแหวนซึ่งบางมาก สันนิษฐานว่า ประกอบด้วย ก้อนน้ำแข็ง และก้อนวัตถุขนาดต่างๆ กัน ล่องลอยอยู่รอบๆ ดาวพฤหัสบดี อาจเกิดมาจากการแตกกระจายของบริวารดวงหนึ่งนานมาแล้ว
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
780
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
142,985
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
11.86
|
ปี
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
- 9 ชั่วโมง 55.5 นาที
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
63
|
ดวง
|
สีของดาว | ---- ส้ม |
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
1,427
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
120,537
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
29.46
|
ปี
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
- 10 ชั่วโมง 39.4 นาที
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
50
|
ดวง
|
สีของดาว | --- เหลือง |
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
2,869
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
51,119
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
84.01
|
ปี
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
- 17 ชั่วโมง
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
27
|
ดวง
|
สีของดาว | --- เขียว |
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย |
4,697
|
ล้านกิโลเมตร
|
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
50538
|
กิโลเมตร
|
โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
164.79
|
ปี
|
หมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ ใช้เวลา |
- 16 ชั่วโมง
| |
ดวงจันทร์บริวาร |
13
|
ดวง
|
สีของดาว | ---- น้ำเงิน |
2. ดวงจันทร์
ดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลก อยู่ห่างออกไป 238,900 ไมล์ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,160 ไมล์ หมุนรอบตัวเองและหมุนรอบโลกในอัตราเร็วและเวลาเกือบเท่ากัน ด้วยเหตุนี้เองคนบนโลกจึงเห็นผิวพื้นของดวงจันทร์เพียงด้านเดียวเสมอ
ดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง และไม่มีอากาศห่อหุ้มอยู่เลย ดังนั้น ในเวลากลางวันด้านที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะมีความร้อนมาก ขณะที่ด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์จะไม่ได้รับแสงสว่าง จึงมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง จึงทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่บนดวงจันทร์ไม่ได้
ดวงจันทร์มีการหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบโลกในอัตราเร็วและเวลาเกือบเท่ากัน คือ 27 วัน 7 ชม. 43 นาที จึงทำให้คนบนโลกมองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียวเสมอ อย่างไรก็ตาม แสงสว่างที่ดวงจันทร์สาดส่องมายังผิวโลกเป็นแสงสะท้อนมาจากดวงอาทิตย์อีกต่อ หนึ่ง พื้นผิวของดวงจันทร์ถ้าดูด้วยกล้องโทรทรรศน์จะพบว่า ไม่เรียบ เป็นผิวขรุขระ เต็มไปด้วยภูเขาสูงและหุบเหวลึก ซึ่งเป็นลักษณะของภูเขาไฟที่ดับแล้วจำนวนนับไม่ถ้วนของดวงจันทร์ นอกจากนี้ตามผิวพื้นราบยังปรากฏเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่มหึมาอีกมากมาย ซึ่งเข้าใจกันว่าเกิดจากการกระแทกอย่างแรงของสะเก็ดดาวนอกเวหาที่พุ่งเข้าชน ดวงจันทร์
การเคลื่อนที่ของดวงจันทร์นอกโลกเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ มนุษย์เราจึงใช้ดวงจันทร์เป็นเครื่องวัดเวลาในการทำปฏิทินทางจันทรคติ
ดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลกเมื่อมีการเคลื่อนที่สำคัญ 3 ประการคือ
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลาประมาณ 27 วัน 7 ชม. 43 นาที
- โคจรรอบโลกใช้เวลาประมาณ 29.5 วัน (ราวๆ 1 เดือน) เท่ากัน
- โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลาประมาณ 12 เดือน
นอกจากนี้ ทั้งโลกและดวงจันทร์ต่างก็มีเงาที่ทอดยาวไปในอวกาศ จนเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมื่อดวงจันทร์ทอดเงามาที่โลกมาบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาพื้นโลก ทำให้พื้นที่บนโลกบริเวณใต้เงาของดวงจันทร์มืดลง เรียกว่า การเกิดสุริยุปราคา และเมื่อเงาของโลกทอดไปยังดวงจันทร์จนมืดสนิทมองไม่เห็นดวงจันทร์ เรียกว่า การเกิดจันทรุปราคา
3. ดาวเคราะห์แคระ
เป็นเทหวัตถุภายในระบบสุริยะที่มีคุณสมบัติ 4 ประการ
- เป็นวัตถุที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์
- มีมวลมากพอที่จะทำให้มีแรงดึงดูดจนตัววัตถุมีขนาดเกือบเป็นทรงกลมสมบูรณ์
- ไม่เป็นบริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือเป็นบริวารของวัตถุท้องฟ้าอื่นใด (ไม่ใช่ดวงจันทร์บริวาร)
- ไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมัน
- ดาวพลูโต (Pluto) พลูโตเป็นชื่อของเทพเจ้าผู้ดูแลรักษานรก หรือโลกมืดใต้บาดาล ตรงกับเทพเจ้าของอินเดียว่า พญายม ผู้ดูแลรักษายมโลก จึงเป็นที่มาของชื่อในภาษาไทยว่า ดาวยม
- ดาวพลูโตประกอบด้วยหินเหมือนดาวพุธ
- ดาวพลูโตเป็นดาวที่มีความหนาวเย็นมาก อุณหภูมิประมาณ -223 องศาเซลเซียส และอาจไม่มีชั้นบรรยากาศ
- พื้นผิวบนดาวพลูโตปกคลุมด้วยน้ำแข็งและก๊าซของแข็งและมีแกนกลางเป็นหิน
- มีดวงจันทร์บริวาร 1 ดวง
- วงโคจรของพลูโตกว้างไกลมาก ต้องใช้เวลาถึง 248 ปี จึงโคจรครบรอบดวงอาทิตย์ แต่เนื่องจากวงโคจรเป็นวงรีมาก และเอียงออกจากระนาบสุริยะวิถีมากด้วย จึงมีระยะหนึ่ง ซึ่งนานประมาณ 20 ปี ที่พลูโตโคจรล้ำเข้ามาในเขตวงโคจรของดาวเนปจูน ทำให้เกิดวงโคจรที่ทับซ้อนกัน
- นักดาราศาสตร์ในปัจจุบันลงความเห็นว่า ดาวพลูโตไม่ใช่ดาวเคราะห์ แต่เป็นเพียงดาวเคราะห์แคระเท่านั้น
ดาวพลูโตมีขนาดเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดวง อาทิตย์ทั้ง 8 ดวง มีขนาดใกล้เคียงกับดวงจันทร์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,290 กิโลเมตร แต่มีบริวารชื่อ คารอน ซึ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับดาวพลูโต เพราะคารอนมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1,190 กิโลเมตร
ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี พ.ศ.2473 เคยเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไกลที่สุดเป็นลำดับที่ 9 ดาวพลูโตได้ถูกถอดออกจากออกจากหมู่ "ดาวเคราะห์ชั้นเอก" แห่งระบบสุริยะ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2549 หลังจากอยู่ในระบบมานานถึง 76 ปี โดยถูกจัดชั้นใหม่ให้เป็น "ดาวเคราะห์แคระ" เพราะดาวพลูโตแตกต่างจากดาวเคราะห์อีก 8 ดวงที่อยู่ในระบบมาก ไม่ว่าจะเป็นระยะทางที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์และและมีขนาดเล็กที่สุดในระบบ สุริยะ และด้วยคำนิยามดาวเคราะห์ใหม่ จึงทำให้ดาวพลูโตต้องหลุดจากการเป็นดาวเคราะห์ชั้นเอกเป็นดาวเคราะห์แคระ เนื่องจากวงโคจรของดาวพลูโตเป็นวงรี บางส่วนซ้อนทับกับวงโคจรของดาวเนปจูนอีกด้วย โดยเฉพาะดาวพลูโตไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมันได้
อย่างไรก็ตาม ความรู้ต่างๆ ของดาวดวงนี้ยังไม่ชัดเจนมากนัก มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นระยะ ดาวพลูโตมีบรรยากาศหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ชัด แต่สมบัติทางกายภาพของดาวพลูโตคล้ายคลึงกับดวงจันทร์ โดยเฉพาะดวงจันทร์ไทรตัน (Tritan) ของดาวเนปจูนมาก จึงอาจเป็นไปได้ว่า ดาวพลูโตเคยเป็นบริวารของดาวเนปจูนมาก่อน แต่ได้หลุดออกไปอยู่ในวงโคจรของดวงอาทิตย์แทนที่จะโคจรรอบดาวเนปจูน
อีริส (Eris) ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2546 อีรีสมีองค์ประกอบพื้นผิวคล้ายดาวพลูโต มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2,326 กิโลเมตร ถือเป็นดาวเคราะห์แคระขนาดใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะ และมีบริวาร 1 ดวง ชื่อ ดิสโนเมีย (Dysnomia) ซึ่งโคจรรอบอีรีสในเวลา 15.774 วัน การค้นพบครั้งแรกกำหนดให้อีรีสเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 10 ถัดจากพลูโต แต่เนื่องจากมีการค้นพบสมาชิกลักษณะคล้ายกันอยู่ในเขตรอบนอกของสุริยะอีกมาก มาย ทำให้นักดาราศาสตร์จำเป็นต้องทบทวนและจัดกลุ่มสมาชิกในระบบสุริยะกันใหม่ และจัดให้อีรีสอยู่ในกลุ่มดาวเคราะห์แคระในที่สุด
ซีเรส (Ceres) เป็นดาวเคราะห์แคระดวงเล็กที่สุดในจำนวน 5 ดวง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 952 กิโลเมตร และเป็นดวงเดียวที่โคจรอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยชั้นใน ที่อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ต่างจากดาวเคราะห์แคระอีก 2 ดวง คือ พลูโต และ อีรีส ซึ่งโคจรอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย รอบนอกของระบบสุริยะ
ซีเรสโคจรรอบดวงอาทิตย์ในเวลา 4.6 ปี วงโคจรเอียงจากระนาบสุริยวิถี 10.6 องศา ใจกลางซีเรสเป็นก้อนหินสีดำคล้ำ ห่อหุ้มด้วยเปลือกน้ำแข็ง สันนิษฐานว่า มีบรรยากาศเบาบางและอาจมีทะเลเหลว
เฮาเมอา (Haumea) ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2546 เช่นเดียวกับดาวอีริส มีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ 43.1 เท่าของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 281.9 ปี ดาวเฮาเมอามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวขวาง 1,436 กิโลเมตร แต่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวดิ่งที่ยาวกว่านั้น จนเห็นเป็นรูปทรงรีได้อย่างชัดเจนกว่าดาวเคราะห์ทั่วไป เฮาเมอามีดาวบริวาร 2 ดวง คือ ฮีอีอากา (Hi'iaka) และ นามากา (Namaka)
มาคีมาคี (Makemake) ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2548 จึงเป็นดาวเคราะห์แคระดวงล่าสุดที่ถูกค้นพบ อยู่บริเวณแถบไคเปอร์ ห่างจากดวงอาทิตย์ 45.3 เท่าของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 305.3 ปี ดาวมาคีมาคีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1,420 กิโลเมตร ไม่มีดาวบริวาร
4. ดาวเคราะห์น้อย
เป็นวัตถุขนาดเล็กๆ จำนวนมากในระบบสุริยะ มีขนาดเท่าเม็ดฝุ่นจนถึงมีขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบพันกิโลเมตร ประกอบด้วย หินและโลหะ สันนิษฐานว่า เกิดจากการแตกกระจายของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในอดีต
ดาวเคราะห์น้อยเป็นบริวารของดวงอาทิตย์และโคจรรอบดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับดาว ดวงอื่นๆ โดยเกาะกันเป็นวงแหวนอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี อยู่ห่างจากโลกประมาณ 150 – 354 กิโลเมตร
ดาวเคราะห์น้อยเราสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทคือ
- ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ เช่น ซีเรส เวสตา พัลลาส มีวงโคจรอยู่ในแถบเข็มขัดดาวเคราะห์น้อย ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์น้อยดวงที่ใหญ่ที่สุดคือ ซีเรส ปัจจุบันซีรีสถูกเลื่อนสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว
- ดาวเคราะห์แคระที่เป็นวัตถุไคเปอร์ซึ่งถูกเพิ่งค้นพบใหม่ มีขนาดใหญ่กว่า และมีวงโคจรรูปรีมาก มีวงโคจรถัดจากดาวเนปจูนและดาวพลูโตออกไป
5. ดาวหาง (Comets) เป็นวัตถุท้องฟ้าที่ไม่มีแสงในตัวเอง เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะโดยเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีมาก ขณะที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์จะไม่มีหางและหัว แต่เมื่อเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์จึงจะมีหางและหัว หางจะยาวมากที่สุดเมื่ออยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด หางของดาวหางจะหันออกไปในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ สิ่งที่ทำให้ดาวหางปรากฏมีหางขึ้นมากเพราะพลังงานจากดวงอาทิตย์ทั้งในรูป ความร้อน ลมสุริยะ (อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่กระเด็นออกไปจากดวงอาทิตย์) และรังสี ซึ่งทำให้น้ำแข็งสกปรก ที่เป็นใจกลางหัวของดาวหางระเหิดกลายเป็นไอ พลังงานที่เป็นลมสุริยะ และรังสีจะผลักดันให้หางพุ่งออกไปจากดวงอาทิตย์ หางจะมีทั้งที่เป็นฝุ่น เป็นก๊าซ และโมเลกุลที่มีประจุไฟฟ้า
อุกกาบาต (Meteors) เป็นวัตถุนอกโลกที่ถูกเผาไหม้ไม่หมดขณะผ่านบรรยากาศโลก และเหลือตกลงมาบนพื้นผิวโลก เรียกว่า อุกกาบาต แต่ถ้าถูกเผาไหม้หมดมองเห็นเป็นแสงวาบ เรียกว่า ดาวตก หรือ ผีพุ่งใต้ ถ้าอุกกาบาตโตมากจะทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตได้ บนดวงจันทร์มีหลุมอุกกาบาตเป็นจำนวนมากเพราะดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศ ไม่มีลม ไม่มีฝนที่จะทำให้หลุมอุกกาบาตที่มีอยู่แล้วพังสลายไป ดาวพุธและดาวอังคารก็มีหลุมอุกกาบาตเช่นเดียวกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)